4 สิงหาคม 2568 หลังจากพืชกระท่อมถูกปลดออกจากบัญชียาเสพติดอย่างเป็นทางการ การค้าขายในอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ก็เปลี่ยนไปอย่างน่าสนใจ จากการสำรวจพบว่า ผู้ค้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่ลับตา แต่เริ่ม เปิดหน้าร้านอย่างโจ่งแจ้ง ควบคู่ไปกับ การขายแบบลับๆ ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ร้านค้าบางแห่งบนถนนสายหลัก เช่น ถนนเลียบทางรถไฟ บริเวณชุมชนดงงูเห่า และ ถนนบายพาสสายเลี่ยงเมือง กล้าที่จะขึ้นป้ายไวนิลขนาดใหญ่และใช้ป้ายไฟโฆษณาเพื่อดึงดูดลูกค้า ขณะที่ในพื้นที่รอบนอกของเขตเทศบาล ผู้ค้ารายย่อยกลับใช้วิธีที่แตกต่างออกไป โดยไม่มีการเปิดหน้าร้าน แต่จะใช้ระบบ “ขายแบบขาใครขามัน” หรือขายเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่คุ้นเคยเท่านั้น สินค้าที่วางขายมีทั้งพืชกระท่อมแบบใบ ซึ่งจะถูกห่อเป็นมัดด้วยกระดาษสีขาว ส่วนสินค้าที่เคยเป็นที่นิยมอย่าง น้ำกระท่อมแบบผสมและไม่ผสม จะไม่มีการวางโชว์หน้าร้านเหมือนในอดีต แต่จะเก็บไว้และหยิบใส่ถุงให้ลูกค้าเมื่อมีการสั่งซื้อเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ
การค้าขายในลักษณะนี้ชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาพืชกระท่อมในพื้นที่สุไหงโก-ลก ซึ่งไม่ได้มีแค่การปราบปราม แต่ยังต้องทำความเข้าใจถึงเครือข่ายและวิธีการที่ผู้ค้าใช้เพื่อหลบเลี่ยงกฎหมาย ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญที่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต้องเผชิญต่อไป
ชาวบ้านรายหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม ได้ให้ข้อมูลที่น่าตกใจว่า พ่อค้ายาเสพติดเปิดร้านค้าได้อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยบางร้านใช้การจำหน่ายพืชกระท่อมเป็นฉากบังหน้า แต่เบื้องหลังกลับซ่อนการค้ายาเสพติดที่อันตรายกว่า เช่น ยาบ้า (4X100) และ ไอซ์ ซึ่งมีการซื้อขายแบบลับๆ เฉพาะกลุ่มลูกค้าที่รู้จักกันหรือที่เรียกว่า “ขาใครขามัน” เท่านั้น
“มันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหน้าที่ นักการเมืองในพื้นที่จะไม่รู้ไม่เห็น” ร้านวางจำหน่ายชัดเจนและมีทั้งป้ายโฆษณาที่เห็นชัด แต่กลับไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ซึ่งชาวบ้านตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้สถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด
นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส โดยยืนยันว่าจังหวัดยังคงเน้นย้ำมาตรการปราบปรามและจับกุมอย่างเข้มงวดจากทั้งสามฝ่าย ได้แก่ ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง
ปัญหาสำคัญในสุไหงโก-ลกคือมีผู้เสพจำนวนมาก ไม่เฉพาะแค่คนไทยยังมีชาวต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านด้วยมีทั้งยาบ้า ยาไอซ์ และยาเสพติดประเภทอื่น ๆ แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามสืบสวนและจับกุมอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดในการเข้าถึง “ผู้ค้ารายใหญ่” เนื่องจากมีการสั่งการและกระจายของผ่านเครือข่ายย่อย ทำให้การตรวจค้นตามสถานที่พักไม่พบยาเสพติด
ในประเด็นเรื่อง “น้ำกระท่อม” รองผู้ว่าฯ กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะเสนอแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากกฎหมายสาธารณสุขในปัจจุบันไม่สามารถเอาผิดผู้จำหน่ายได้ หากน้ำกระท่อมไม่มีส่วนผสมของสารเสพติดอื่น เช่น ยาบ้า หรือยาแก้ไอ ซึ่งผู้จำหน่ายก็อาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายนี้ในการดำเนินธุรกิจ
“การไปจับก็ยาก เพราะถ้าไม่มีเรื่องส่วนผสม มันไม่มีความผิด” รองผู้ว่าฯ กล่าว และเสริมว่า “รัฐบาลคงต้องพิจารณาใหม่เหมือนกัน ว่าผลที่เราไปคิดว่ามันจะเอาไปใช้ในทางการแพทย์ เอาจริง ๆ แล้วไม่ได้เอาไปใช้ทางการแพทย์ เอาไปเป็นสารเสพติดกันหมด เยาวชน วัยทำงานในประเทศไทยไปติดยากันหมดจะอยู่ยังไง”
รองผู้ว่าฯ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลได้เชิญผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ ฝ่ายความมั่นคง และนายอำเภอทุกอำเภอเข้ารับมอบนโยบายในวันพฤหัสบดีนี้ ที่เมืองทองธานี ซึ่งคาดว่าจะมีการเน้นย้ำเรื่องการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวดมากขึ้น พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนในการแจ้งเบาะแส เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที
นายซูปียัน แดเมาะเล็ง นายอำเภอสุไหงโก-ลก ยืนยันว่าทางอำเภอไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหายาเสพติดในพื้นที่ โดยได้ทำการเอกซเรย์ทุกหมู่บ้านและมีข้อมูลรายชื่อผู้เสพและผู้จำหน่ายแล้ว พร้อมเดินหน้าใช้มาตรการปราบปรามอย่างเข้มข้น แต่ยอมรับว่า ในพื้นที่สุไหงโกลกมีพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่แต่ยังขาดหลักฐานที่เพียงพอในการจับกุม
สำหรับผู้เสพนั้น ทางจังหวัดจะดำเนินการส่งเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูโดยเร็วที่สุด ส่วนผู้จำหน่าย ทางอำเภอจะประสานกำลังจากฝ่ายปกครอง ตำรวจ และทหาร เพื่อใช้มาตรการ ปิดล้อม ตรวจค้น และจับกุม พ่อค้ายาเสพติดในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
จากกระแสข่าวที่ว่าร้านค้าบางแห่งใช้การขายกระท่อมเป็นฉากบังหน้าเพื่อค้ายาเสพติดชนิดอื่น นายซูปียันกล่าวว่าได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบร้านค้าในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบว่ามีการจำหน่ายเพียงใบกระท่อมตามกฎหมายหรือไม่ หากพบว่ามีการซุกซ่อนยาแก้ไอหรือสิ่งผิดกฎหมายอื่น ก็จะดำเนินการจับกุมทันที
“จากการลงพื้นที่ตรวจสอบล่าสุด เราพบเพียงพืชกระท่อม ส่วนยาแก้ไอหรือสิ่งอื่นยังไม่พบ แต่เราก็สุ่มตรวจไปเรื่อย ๆ เพราะอาจจะมีการขายอยู่หลังร้าน” นายซูปียันกล่าว พร้อมขอความร่วมมือจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ให้ช่วยกันสอดส่องดูแลและแจ้งเบาะแสหากพบเห็นการกระทำผิด
ในประเด็นเรื่องผู้ค้ารายใหญ่ที่ชาวบ้านกล่าวอ้างนั้น นายอำเภอสุไหงโก-ลกยืนยันว่าข้อมูลทางข่าวนั้นมีอยู่จริง แต่ปัญหาคือยังไม่มีหลักฐานที่สามารถนำไปสู่การจับกุมได้ เนื่องจากผู้ค้ารายใหญ่เหล่านี้มักจะป้องกันตัวเองด้วยการตัดตอนเครือข่าย เพื่อให้การสาวถึงตัวทำได้ยาก
“เป็นธรรมดาที่พ่อค้ารายใหญ่เขาต้องป้องกันตนเอง แต่ในฐานะเจ้าหน้าที่ เราก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสาวถึงตัวการใหญ่อยู่ เมื่อพยานหลักฐานเราสาวไปถึงเมื่อไหร่ เราก็จะดำเนินการทันที” นายซูปียันกล่าวทิ้งท้าย
นูอารีซ๊ะ บะยือริ รายงาน